top of page
รูปภาพนักเขียนwaraporn jetanasen

โรคริดสีดวงทวาร มีเลือดออกขณะขับถ่ายและหลังขับถ่าย


เรื่องควรรู้

  • โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) คือ โรคที่เกิดจากหลอดเลือดดำบริเวณลำไส้ใหญ่ และทวารหนักมีอาการบวม โป่งพอง และมีหลอดเลือดบางส่วนยื่นออกมาจากทวารหนัก

  • โรคริดสีดวงทวารเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นภาวะท้องผูกเรื้อรัง ท้องเสียบ่อย มีภาวะโรคตับแข็ง รวมทั้งจากการใช้ชีวิตและพฤติกรรมการขับถ่าย เช่น ชอบเบ่งอุจจาระอย่างแรง ชอบนั่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน ยกของ หรือออกแรงเบ่งมากๆ

  • โรคริดสีดวงทวารแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ริดสีดวงทวารภายใน (Internal Hemorrhoids) และริดสีดวงทวารภายนอก (External Hemorrhoids)

  • ความรุนแรงของโรคริดสีดวงทวารจะเพิ่มตามระยะที่เป็น เริ่มตั้งแต่มีเลือดไหลออกมาเวลาเบ่งถ่ายอุจจาระ หัวริดสีดวงโตขึ้น ติ่งเนื้อเริ่มโผล่ออกมาพ้นปากทวารหนัก ในที่สุดจะสามารถมองเห็นหัวริดสีดวงได้ มีอาการบวม อักเสบและมีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงมาก

 

โรคริดสีดวงทวารเป็นอีกหนึ่งในโรคเกี่ยวกับระบบขับถ่ายที่หลายคนมักจะได้ยินกันบ่อยๆ เพราะสาเหตุส่วนมากของโรคริดสีดวงทวารนี้เกิดมาจากพฤติกรรมการขับถ่ายที่ผิดๆ ซึ่งหลายคนมักไม่รู้ตัวนั่นเอง  ความหมายและสาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) คือ โรคที่เกิดจากหลอดเลือดดำบริเวณลำไส้ใหญ่ และทวารหนักมีอาการบวม โป่งพอง และมีหลอดเลือดบางส่วนยื่นออกมาจากทวารหนัก  เกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น 

  • ภาวะท้องผูกเรื้อรัง 

  • ท้องเสียบ่อย 

  • มีภาวะโรคตับแข็ง ซึ่งมีผลทำให้เลือดดำเกิดการอุดตัน จนเส้นเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพอง

  • อายุที่มากขึ้นและกล้ามเนื้อเริ่มหย่อนยาน จนทำให้เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อชื่อว่า "เบาะรอง" เลื่อนลงมาจนยื่นออกมาจากทวารหนัก

  • บุคคลในครอบครัวมีประวัติเคยเป็นโรคริดสีดวงทวารหนัก

รวมทั้งจากการใช้ชีวิตและพฤติกรรมการขับถ่าย เช่น  

  • พฤติกรรมชอบเบ่งอุจจาระอย่างแรง

  • ชอบนั่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน โดยเฉพาะคนที่ชอบเล่นโทรศัพท์มือถือในขณะขับถ่าย

  • มักใช้ยาสวนอุจจาระ หรือยาระบายบ่อยเกินความจำเป็น

  • มีพฤติกรรมที่ต้องยกของ หรือออกแรงเบ่งมากๆ

ประเภทของโรคริดสีดวงทวาร ริดสีดวงสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

  1. ริดสีดวงทวารภายใน (Internal Hemorrhoids) หมายถึง โรคริดสีดวงทวารซึ่งตัวหลอดเลือดที่โป่งพองจะอยู่ที่บริเวณเหนือทวารหนักขึ้นไป จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็น หรือคลำหาเจอได้ อีกทั้งโรคริดสีดวงชนิดนี้จะไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดอะไร หากยังไม่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น

  2. ริดสีดวงทวารภายนอก (External Hemorrhoids) หมายถึง โรคริดสีดวงซึ่งเกิดบริเวณปากรอยย่นของทวารหนัก สามารถเห็นและคลำเจอติ่งเนื้อที่ปกคลุมหลอดเลือดที่โป่งพองได้ อีกทั้งติ่งเนื้อซึ่งยื่นออกมานั้นยังมีปลายประสาทที่รับความรู้สึกได้ด้วย ผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงชนิดนี้จึงอาจเผชิญความรู้สึกเจ็บปวดได้ โดยเฉพาะเวลาขับถ่ายอุจจาระ

อาการของโรคริดสีดวงทวาร อาการของโรคริดสีดวงทวาร แบ่งออกเป็น 4 ระยะ โดยความรุนแรงจะเพิ่มตามระยะที่เป็น ได้แก่

  • ระยะที่ 1:  มีเส้นเลือดดำโป่งพองในทวารหนัก มีเลือดไหลออกมาเวลาเบ่งถ่ายอุจจาระ หรือหากกำลังท้องผูก เลือดก็จะออกมากขึ้นกว่าเดิม

  • ระยะที่ 2:  หัวริดสีดวงโตมากขึ้นและติ่งเนื้อจะเริ่มโผล่ออกมาพ้นปากทวารหนัก เวลาเบ่งอุจจาระจะสามารถมองเห็นได้มากขึ้น และจะหดกลับได้เองหลังขับถ่ายเสร็จแล้ว

  • ระยะที่ 3:  หัวริดสีดวงเริ่มโผล่ออกมามากกว่าเดิมและไม่ใช่แค่เวลาขับถ่ายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเวลาไอ จาม หรือยกของหนักๆ ที่ต้องเกร็งท้อง เพราะพฤติกรรมดังกล่าวจะเกิดการเบ่ง ทำให้หัวริดสีดวงโผล่ออกมาข้างนอก และไม่สามารถหดกลับเข้าไปได้เองอีก นอกจากต้องใช้นิ้วช่วยดันกลับเข้าไป

  • ระยะที่ 4:  หัวริดสีดวงโตมากขึ้น สามารถมองเห็นจากภายนอกได้อย่างชัดเจน รวมถึงมีอาการบวม อักเสบและมีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงมาก ได้แก่ 

    • ทวารหนักผู้ป่วยมีเลือดออกอยู่เสมอ 

    • ระหว่างนี้ผู้ป่วยอาจมีน้ำเหลือง หรือเมือกลื่นๆ และอุจจาระหลุดออกมาได้ ทำให้เกิดความสกปรก ส่งกลิ่นเหม็น และเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา 

    • ผู้ป่วยอาจมีอาการคันที่ขอบปากทวารร่วมด้วย  บางครั้งอาจถึงขั้นเน่าและอักเสบมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การติดเชื้อได้ง่าย และหากผู้ป่วยยังมีเลือดออกอยู่เรื่อยๆ ก็จะทำให้ตัวเริ่มซีด อ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลดลง และเกิดอาการหน้ามืดได้


อ่านเพิ่มเติม: อาการโรคริดสีดวงทวารเป็นอย่างไร ภาวะแทรกซ้อนจากโรคริดสีดวงทวาร ด้วยตัวโรคซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะเลือดออกและการเคลื่อนตัวของอวัยวะ จึงทำให้นอกจากอาการหลักๆ ของโรคที่จะทำให้ผู้ป่วยเกิดความทุกข์ทรมานแล้ว ผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารบางกลุ่มยังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ด้วย  ลักษณะของภาวะแทรกซ้อนแบ่งออกได้ดังนี้

  1. การตกเลือด หากผู้ป่วยมีเลือดไหลออกทางทวารหนักอยู่ตลอดเวลา เมื่อระยะเวลาผ่านไปก็จะทำให้เกิดภาวะขาดเลือด ความดันโลหิตตก โลหิตจาง หรือหากมีเลือดออกทีละเล็กน้อยแต่นานและเรื้อรังก็จะนำไปสู่สาเหตุของโรคโลหิตจางชนิดขาดธาตุเหล็ก (Iron deficiency anemia) ได้ ภาวะนี้จะสังเกตได้จากระหว่างวัน ผู้ป่วยจะมีอาการผิดปกติ เช่น อ่อนเพลียง่าย วิงเวียนศีรษะ เบื่ออาหาร มือเท้าเย็น ปากแห้ง เจ็บหน้าอก

  2. ลิ่มเลือดอุดตัน หมายถึง เลือดที่จับตัวกันเป็นก้อนอยู่ภายในติ่งเนื้อริดสีดวง ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง มักพบมากในโรคริดดวงทวารชนิดภายนอก 

  3. การบีบรัดของริดสีดวง พบได้ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีติ่งเนื้อริดสีดวงโผล่ออกมาด้านนอกทวารหนักอย่างเห็นได้ชัด ติ่งเนื้อดังกล่าวจะไม่มีเลือดถูกส่งมาเลี้ยงจนทำให้เกิดภาวะขาดเลือดและทำให้หูรูดของทวารหนักเกิดการหดตัว จนลุกลามกลายเป็นการอักเสบและบวมอย่างหนัก รวมถึงทำให้มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นภายในติ่งเนื้อริดสีดวงร่วมด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง

การวินิจฉัยโรคริดสีดวงทวาร การวินิจฉัยโรคริดสีดวงทวารอาจแบ่งตามชนิดของริดสีดวง ดังนี้

  • สำหรับโรคริดสีดวงทวารชนิดภายนอก: แพทย์จะตรวจทวารหนักเมื่อพบว่า ผู้ป่วยมีแนวโน้มจะเป็นโรคริดสีดวงทวาร เนื่องจากโรคริดสีดวงทวารชนิดภายนอกจะมีติ่งเนื้อยื่นออกมาให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วจึงสามารถตรวจได้ด้วยตาเปล่า ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ 

  • สำหรับโรคริดสีดวงชนิดภายใน: แพทย์จะตรวจทวารหนักด้วยการสอดนิ้วเพื่อคลำหาความผิดปกติภายในทวารหนัก หรืออาจใช้เครื่องมือส่องกล้องพิเศษ เพื่อช่วยวินิจฉัยโรคให้แม่นยำมากขึ้น

  • สำหรับผู้ป่วยที่อาการยังไม่ชัดเจน: ในผู้ป่วยที่อาการยังไม่ชัดเจน หรือมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ร่วมด้วยรวมถึงผู้ป่วยสูงอายุ แพทย์มักจะใช้วิธีเอกซเรย์ (X-Rays) เพื่อตรวจลำไส้ใหญ่ หรือใช้วิธีการสวนแป้งแบเรียม (Barium enema) เพื่อหาความผิดปกติของลำไส้ใหญ่ และวินิจฉัยโรคให้แน่ใจว่า ผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคมะเร็งลำไส้ หรือโรคที่เป็นสาเหตุทำให้ถ่ายเป็นเลือด หรือเกิดความผิดปกติต่อระบบทางเดินอาหาร

การรักษาโรคริดสีดวงทวาร 1. รักษาด้วยตนเอง หากคุณเป็นโรคริดสีดวงในระยะที่ 1 หรือระยะที่ 2 สามารถรักษาให้หายได้ด้วยตนเอง โดยการใส่น้ำอุ่นในกะละมังใบใหญ่ เทด่างทับทิมผสมกับน้ำจนกลายเป็นสีชมพูจางๆ (หรือจะแช่น้ำอุ่นอย่างเดียวก็ได้) จากนั้นให้นั่งแช่ลงในกะละมังประมาณ 15-20 นาที ควรทำทั้งก่อนและหลังถ่ายอุจจาระ เพื่อช่วยลดอาการอักเสบ และลดการขยายตัวของหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนัก 2. เหน็บยารักษาริดสีดวง  ในปัจจุบันมียาเหน็บรักษาริดสีดวงหลายยี่ห้อและหลายชนิดให้คุณได้เลือก แต่แนะนำให้คุณเลือกยาเหน็บที่มีส่วนผสมของเบนโซเคน (Benzocaine) 1 กรัม และลาโนลิน (Lanolin) 15 กรัม เพราะเป็นตัวยาสำคัญในการรักษาโรคริดสีดวงทวารให้ดีขึ้นได้ 3. รักษาโดยการฉีดยา  มักใช้เพื่อรักษาโรคริดสีดวงทวารภายในระยะที่ 1และ 2 หรือโรคริดสีดวงทวารที่มีเลือดออกมาก แพทย์จะฉีดสารเคมีเข้าไปบริเวณชั้นใต้ผิวหนังที่มีขั้วติ่งเนื้อริดสีดวง ทำให้เกิดพังพืดอุดกั้นหลอดเลือดที่ส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงริดสีดวง หลังจากนั้นเลือดจะหยุดไหลและติ่งเนื้อริดสีดวงจะฝ่อไปในที่สุด  ขณะที่ฉีด แพทย์จะต้องระมัดระวังไม่ฉีดเข้าติ่งเนื้อริดสีดวงโดยตรงเพราะจะทำให้สารเคมีเข้าเส้นเลือด และทำให้ผู้ป่วยแน่นหน้าอก รวมถึงปวดท้องด้านบนได้  4. การรักษาโดยการใช้ยางรัด  การใช้ยางรัดหัวของติ่งเนื้อริดสีดวงที่โผล่ออกมาจะทำให้ติ่งเนื้อขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงและฝ่อจนหลุดไปเองตามธรรมชาติ วิธีนี้ใช้สำหรับริดสีดวงทวารในระยะที่ 1 ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 5. การผ่าตัด  ใช้รักษาโรคริดสีดวงทวารในระยะที่ 3 และระยะ 4 เพราะระยะนี้ติ่งเนื้อริดสีดวงจะมีขนาดใหญ่มากจนไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้เองอีก การผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับจำนวนและชนิดของริดสีดวงทวาร รวมทั้งความชำนาญของศัลยแพทย์ด้วย  เช่น หากผู้ป่วยมีติ่งเนื้อริดสีดวง 1-2 ตำแหน่ง แพทย์อาจต้องใช้อุปกรณ์พิเศษช่วยในการตัดริดสีดวงทวารโดยไม่ต้องใช้ไหมเย็บแผล แต่หากมีริดสีดวงทวารตั้งแต่ 3 ตำแหน่งขึ้นไป แพทย์อาจต้องใช้เครื่องมือตัดต่อเยื่อบุลำไส้ชนิดกลม โดยการตัดและเย็บแบบนี้จะเกิดตามแนวเส้นรอบวงของช่องทวารหนัก  วิธีการผ่าตัดแบบนี้มีข้อดีคือ แพทย์จะสามารถตัดติ่งเนื้อริดสีดวงออกได้ทุกหัวและไม่ทำให้รูทวารหนักแคบลงด้วย นอกจากนี้ผู้ป่วยจะไม่มีแผลภายนอกเลย อีกทั้งอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัดก็ไม่ร้ายแรงมาก การเตรียมก่อนการผ่าตัดริดสีดวงทวาร สิ่งที่สำคัญคือ ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาทุกชนิดที่กำลังรับประทานอยู่ก่อนเข้ารับการผ่าตัด เพราะผู้ป่วยอาจจำเป็นจะต้องหยุดยาบางชนิด เช่น Aspirin, Advil (Ibuprofen), Aleve (Naproxen) ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Coumadin (Warfarin), Eliquis (Apixaban) และ Xarelto (Rivaroxaban) หรือ Plavix (Clopidogrel, Bisulfate) หลายวันก่อนการผ่าตัด นอกจากนี้ควรแจ้งแพทย์ด้วยหากตนเองสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่จะทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้ช้ากว่าปกติ และคุณอาจต้องงดน้ำและอาหารทุกชนิดเป็นเวลา 6-12 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด และควรปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด การปฏิบัติตนหลังการผ่าตัดริดสีดวงทวาร คุณสามารถอาจกลับบ้านได้เลยหลังจากผ่าตัด แต่ไม่ควรขับรถกลับบ้านด้วยตนเองและควรมีญาติ หรือคนใกล้ชิดช่วยขับให้แทน หากมีอาการปวดหลังการผ่าตัดก็สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ตามที่แพทย์สั่ง นอกจากนี้แพทย์อาจแนะนำให้แช่ก้นในน้ำอุ่นประมาณ 15-20 นาที เพราะจะช่วยทำให้บริเวณแผลผ่าตัดสะอาดและมีเลือดมาเลี้ยงเพิ่มขึ้น คุณสามารถสอบถามแพทย์ได้ว่าจำเป็นต้องแช่น้ำอุ่นบ่อยแค่ไหน ทั้งนี้อาการต่างๆ จะดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์หลังการผ่าตัด ความเสี่ยงของการผ่าตัดริดสีดวงทวารหนัก ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการผ่าตัดประกอบด้วยการติดเชื้อ มีเลือดออก กลั้นอุจจาระไม่ได้ และมีอาการปวดเวลาปัสสาวะ การฟื้นตัวหลังการผ่าตัดริดสีดวงทวาร ระยะเวลาพักฟื้นของผู้ป่วยจะขึ้นอยู่กับความซับซ้อนและระยะเวลาการผ่าตัด รวมถึงความรุนแรงและจำนวนของริดสีดวงทวารที่ผ่าตัดออกไป แต่โดยส่วนมากแล้ว ผู้ป่วยจะเริ่มอาการดีขึ้นในวันที่ 3-4 หลังการผ่าตัด และดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้น ส่วนเรื่องการทำกิจกรรมและการใช้ชีวิตประจำวัน โดยปกติแล้วผู้ป่วยจะสามารถกลับมาทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้แรงมากได้ภายในเวลา 1 สัปดาห์หลังการผ่าตัด และสามารถกลับไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติภายในเวลา 2 สัปดาห์ อาการปวดหลังการผ่าตัดริดสีดวงทวาร เป็นเรื่องปกติที่ผู้ป่วยซึ่งใช้วิธีรักษาโดยการผ่าตัดจะรู้สึกปวดในช่วงสัปดาห์แรกหลังการรักษา และเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่เลือกวิธีการรักษาโดยการฉีดยาให้ฝ่อ ผู้ป่วยที่ใช้วิธีการผ่าตัดจะมีอาการปวดมากกว่าพอสมควร สำหรับระดับของความเจ็บปวดของผู้ป่วยหลังการรักษา นอกจากเรื่องรูปแบบการรักษาแล้ว ความรุนแรงของริดสีดวงทวารก่อนการผ่าตัดยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ระดับความเจ็บปวดไม่เท่ากันด้วย  ในช่วงสัปดาห์แรกหลังการรักษา ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บแผลมากเวลาเบ่งอุจจาระและอาจรู้สึกเจ็บเวลาต้องโน้มตัว นั่งยองๆ ยกของ หรือเปลี่ยนท่าจากยืนเป็นนั่ง ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการเจ็บระหว่างขับถ่ายอุจจาระหลังการผ่าตัด บางราย ยังสามารถเกิดขึ้นได้จากการใช้ยาแก้ปวดที่แพทย์สั่ง หรือการรับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารไม่เพียงพอด้วย นอกจากความรู้สึกเจ็บระหว่างขับถ่ายอุจจาระแล้ว ผู้ป่วยก็อาจเกิดอาการปวดขณะปัสสาวะได้เช่นกัน  วิธีแก้อาการเจ็บปวดหลังการผ่าตัดริดสีดวงทวาร ส่วนมากจะเป็นการแก้ไขไปตามอาการที่เกิดขึ้น เช่น

  • แพทย์จะจ่ายยาทำให้อุจจาระนิ่มในช่วงสัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด เพื่อลดอาการเจ็บขณะขับถ่าย

  • ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องอาการท้องผูก และทำให้ไม่รู้สึกเจ็บในขณะต้องเบ่งอุจจาระ

  • ผู้ป่วยควรนั่ง หรือนอนอยู่กับที่ในวันแรกๆ หลังการผ่าตัด

  • ให้ผู้ป่วยนั่งแช่น้ำอุ่นระดับความสูง 2-3 นิ้วเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดและอาการคันที่เกิดขึ้น โดยให้ใช้โถพิเศษคล้ายกระโถน และสามารถทำได้หลายๆ ครั้งต่อวันด้วย

  • แพทย์อาจสั่งจ่ายยาทาเฉพาะที่ให้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและตำแหน่งที่ผ่าตัดริดสีดวงออก

การติดเชื้อหลังการผ่าตัดริดสีดวงทวาร การติดเชื้อเป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากการผ่าตัดรักษาริดสีดวงทวาร เนื่องจากอุจจาระสามารถเข้าไปปนเปื้อนตำแหน่งที่ผ่าตัดริดสีดวงได้และทำให้เกิดการติดเชื้อในภายหลัง หากสังเกตว่า ตนเองมีเลือดออกเล็กน้อยบริเวณแผลผ่าตัดระหว่างเข้าห้องน้ำ หรือติดกางเกงชั้นใน ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตาม หากปริมาณเลือดเริ่มมีมากขึ้นผิดปกติ คุณควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที  เลือดที่ออกนี้ยังสามารถเพิ่มปริมาณขึ้นได้ระหว่างที่อุจจาระในช่วงประมาณ 48-72 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการรักษาโรคริดสีดวงทวาร โดยปกติแล้วผู้ป่วยที่เป็นโรคริดสีดวงทวารมักจะอายและไม่กล้าไปพบแพทย์ บางรายก็อาจหันไปใช้แพทย์ทางเลือกแทน โดยใช้วิธีรักษาด้วยการฉีดยาสมุนไพรจนกระทั่งแผลเน่าและรูทวารตีบ  ในกรณีนี้แพทย์จะรักษาด้วยการขยายรูทวารและดันผิวหนังที่ยื่นนูนออกมาให้กลับเข้าไปภายใน ซึ่งผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงมากระหว่างการรักษา  ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรักษาโรคริดสีดวงทวาร

  • หลังจากผ่าตัดแล้วจะทำให้กลั้นอุจจาระไม่อยู่ ในความจริงแล้ว การผ่าตัดริดสีดวงทวารหนักจะไม่ไปโดนในส่วนของกล้ามเนื้อหูรูดและไม่มีผลเกี่ยวข้องกับการกลั้นอุจจาระแต่อย่างใด รวมถึงไม่มีผลแทรกซ้อนใดๆ ที่เป็นอันตรายทั้งสิ้นด้วย

  • การรักษาริดสีดวงทวารไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการผ่าตัดเท่านั้น และแพทย์มักแนะนำการผ่าตัดกับผู้ป่วยรายที่จำเป็นเท่านั้นดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกลัวว่า เมื่อเป็นโรคริดสีดวงทวารแล้วจะต้องเข้าห้องผ่าตัดอย่างแน่นอน และไม่ควรอายที่จะไปพบแพทย์เพื่อหาวิธีรักษาอย่างเหมาะสมด้วย

สมุนไพรรักษาโรคริดสีดวงทวาร นอกจากการใช้ยา หรือการผ่าตัดแล้ว ยังมีวิธีรักษาด้วยสมุนไพรไทยซึ่งสามารถช่วยให้อาการของโรคริดสีดวงทวารดีขึ้นได้ เช่น

  • เพชรสังฆาตนำเพชรสังฆาตสด 1 ปล้อง หั่นเป็นข้อเล็กๆ แล้วหุ้มด้วยกล้วยสุกหรือมะขามเปียก ให้รับประทานวันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้าและเย็นติดต่อกันเป็นเวลา 10-15 วัน แล้วอาการของโรคริดสีดวงทวารจะค่อยๆ บรรเทาและสามารถหายเองได้

  • ขลู่นำใบขลู่มาต้มรับประทานเป็นชาและคุณยังสามารถอบไอสมุนไพรผ่านการใช้เปลือกของต้นขลู่ซึ่งนำมาต้มในน้ำจนเดือดได้ ขลู่จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้ นอกจากนี้ขลู่ยังเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษาที่หลากหลาย เช่น ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้นิ่วในไต ช่วยย่อยอาหาร และยังสามารถนำมารักษาโรคริดสีดวงจมูกได้ด้วยเช่นกัน

  • ว่านหางจระเข้นำว่านหางจระเข้มาปอกเปลือกส่วนนอกออกให้หมด เหลาให้ปลายแหลมเล็กน้อย เพื่อความสะดวกในการเหน็บเข้าไปในช่องทวารหนัก หากต้องการให้เหน็บง่ายขึ้นมีข้อแนะนำว่า ให้นำว่านหางจระเข้ไปแช่ในตู้เย็นเพื่อทำให้เกิดการแข็งตัวและจะทำให้สอดได้ง่ายขึ้น ควรทำให้ได้วันละ 1-2 ครั้ง จนกว่าจะหาย

วิธีป้องกันโรคริดสีดวงทวารหนัก

  1. รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช ผัก และผลไม้ต่างๆ หรือน้ำลูกพรุนเพื่อทำให้ระบบขับถ่ายคล่องตัว

  2. ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8-10 แก้ว เพราะน้ำมีส่วนช่วยทำให้กากใยอาหารอ่อนตัวและช่วยให้อาหารเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้ง่ายขึ้น

  3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายมีส่วนช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นและยังช่วยทำให้ลำไส้แข็งแรงขึ้นด้วย

โรคริดสีดวงทวารหนักเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง หรือไม่ได้ก่อให้เกิดผลเสียหายแก่ร่างกาย เพียงแต่จะทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดความเจ็บปวดเวลาขับถ่าย  ดังนั้นจึงควรดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำให้มากๆ และงดเว้นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคริดสีดวงทวารหนัก  นอกจากนี้หากเกิดอาการของโรคริดสีดวงแล้วควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้อง ไม่ควรอายเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพตามมาอย่างร้ายแรงกว่าที่คิดได้ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคริดสีดวงทวาร 1. เวลาขับถ่ายจะมีเลือดสดๆ ปนมาด้วย บางครั้งก็เยอะ บางครั้งก็น้อย มีวิธีการรักษาอย่างไรบ้างคะ เเล้วมีโอกาสเป็นโรคริดสีดวงหรือเปล่า? คำตอบ: อาการถ่ายเป็นเลือดสดพบได้ในคนเป็นโรคริดสีดวงทวารครับ แต่ควรได้รับการยืนยันวินิจฉัยและตรวจร่างกายจากแพทย์ก่อน โรคริดสีดวงทวารเป็นโรคที่พบได้บ่อยซึ่งจะมีอาการหลักๆ อยู่ที่เลือดออกขณะและหลังถ่ายอุจจาระ มีติ่งเนื้ออยู่ที่ขอบทวาร อาการในระยะแรกจะเป็นๆ หายๆ ไม่รุนแรง โรคริดสีดวงทวารแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ โรคริดสีดวงภายในและโรคริดสีดวงภายนอก ส่วนอาการของโรคจะได้แก่ 

  1. มีเลือดแดงสดหยด หรือพุ่งออกมาขณะเบ่งถ่าย หรือหลังถ่ายอุจจาระ จำนวนเลือดที่ออกมาแต่ละครั้งจะไม่มากนัก และอาจยังไม่มีอาการปวดหรือแสบที่ขอบทวาร จากนั้นอาการมักจะหยุดไปเอง และจะเป็นๆ หายๆ 

  2. มีติ่ง หรือก้อนเนื้อปลิ้นออกมาจากภายในขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ และจะยุบกลับเข้าไปเมื่อหยุดเบ่ง เมื่อโรคเป็นรุนแรงมากขึ้นจะต้องใช้นิ้วดันจึงจะกลับเข้าไป และขั้นสุดท้ายตัวติ่งเนื้ออาจย้อยอยู่ภายนอกตลอดเวลา 

  3. มีก้อนและเจ็บปวดที่ขอบทวาร หากเกิดขึ้นจะเจ็บมากในระยะเวลา 5-7 วันแรก และเมื่อโรคถึงระยะนี้ ผู้ป่วยจะต้องระวังภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นด้วย ส่วนการรักษาก็จะขึ้นอยู่กับระยะของโรคเช่นกัน 

สำหรับวิธีการรักษาในอาการระดับทั่วไปที่ยังไม่รุนแรง แพทย์อาจใช้การรักษาร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอื่นๆ เพื่อให้การขับถ่ายสะดวกมากขึ้น อุจจาระนิ่ม ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องเบ่งรุนแรง และเพื่อระงับอาการที่ก่อให้เกิดความรำคาญ หรือเจ็บปวด ได้แก่ 

  • เพิ่มอาหารที่มีเส้นใยมาก เช่น ผัก ผลไม้

  • ดื่มน้ำให้มากขึ้น

  • รับประทานยาระบาย 

ส่วนวิธีการรักษาเฉพาะเจาะจงจะมีหลายวิธีด้วยขึ้นอยู่กับระยะของโรค เครื่องมือ สถานที่ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ได้แก่ การฉีดยา การใช้ยางรัด การจี้ริดสีดวง และการผ่าตัดริดสีดวงทวารครับ  (ตอบโดย ชยากร พงษ์พยัคเลิศ (นพ.)) อ่านเพิ่มเติม: รวมคำถาม-คำตอบเรื่องอาหารการกิน สำหรับผู้เป็นริดสีดวงทวาร 2. ถ่ายเป็นเลือดสีแดงสดมา 3 วันแล้ว  ครั้งแรกถ่ายเป็นเลือดและมีลิ่มเลือดปนออกมา แต่ไม่มีกลิ่นคาวเลือด และมีอาการแสบท้องเหมือนกินของเผ็ดด้วย วันที่ 2 ก็ยังถ่ายค่อนข้างเหลวและมีเลือดออกมาเหมือนเดิม วันที่ 3 ก็เหมือนกัน ถ่ายเหลวและมีเลือด สงสัยว่า เป็นโรคริดสีดวงหรือเปล่า รบกวนคุณหมอช่วยตอบด้วย คำตอบ: แนะนำว่า คุณควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัดก่อนว่า อาการถ่ายอุจจาระปนเลือดเกิดจากอะไรกันแน่ ส่วนสาเหตุที่ต้องระวังให้มากก็คือ โรคมะเร็งลำไส้ เพราะอาการของโรคนี้จะอยู่ในรูปถ่ายอุจจาระปนกับเลือด ปวดหน่วง และถ่ายไม่สุด ส่วนอาการของโรคริดสีดวงทวารจะถ่ายเป็นเลือดสดและเลือดมักออกมาเคลือบปนกับอุจจาระ ทางที่ดีควรไปตรวจให้แน่ใจก่อนจะดีกว่า (ตอบโดย Buakhao Arpaporn (พญ.))

3. ผมเจ็บริดสีดวงมาก ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากนอนมา 1 สัปดาห์แล้ว และเมื่อ 2 วันก่อน ผมไปหาหมอที่ศูนย์การแพทย์ หมอให้ยามารับประทานโดยที่ยังไม่ตรวจริดสีดวงผมเลย ยาที่จ่ายมาเป็นยาตัวเดียวกับที่ผมซื้อมาจากร้านขายยา วันนี้ผมเจ็บไม่ไหวแล้วจริงๆ สามารถเข้าไปผ่าเลยได้ไหม คำตอบ: ถ้ามีอาการปวดมาก รับประทานยาที่แพทย์จ่ายมาแล้วยังไม่ดีขึ้น คุณสามารถเข้าไปที่ศูนย์การแพทย์พัฒนาได้ตลอดเวลาอยู่แล้วครับ และแพทย์จะพิจารณาอีกครั้งว่าจะรักษาอย่างไรต่อไป เนื่องจากวิธีการรักษามีหลายแบบด้วยกัน (ตอบโดย สุเทพ สุขนพกิจ (นพ.)) อ่านเพิ่มเติม: ริดสีดวงแตก ทำอย่างไรดี? 4. เป็นโรคริดสีดวงตอนท้องอยู่ สามารถกินยาแก้ริดสีดวงได้ไหมคะ คำตอบ: สามารถใช้ยาได้ครับ แต่ยาที่จะช่วยในการลดการอักเสบและบวมในหญิงตั้งครรภ์อาจต้องใช้เป็นยาเหน็บก้นแทน เพราะยารับประทานทั่วไปที่ช่วยรักษาโรคริดสีดวงได้เป็นยาที่ยังไม่มีการศึกษาว่าใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ ฉะนั้นจึงไม่แนะนำให้ใช้หากไม่จำเป็นจริงๆ  หากคุณแม่ที่ตั้งครรภ์บอกว่าเป็นโรคริดสีดวงทวาร แพทย์จะต้องดูว่า มีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ถ้า ไม่เจ็บ ไม่มีเลือดออกมาก แพทย์อาจแนะนำให้คุณแม่ดันกลับเข้าไปเองและให้เน้นรับประทานอาหารที่มีกากใยเยอะๆ ถ้านั่งแล้วเบ่งอุจจาระไม่ออกก็ไม่ต้องเบ่งต่อ ถ้าคุณแม่ปฏิบัติตามได้ดีก็ไม่มีปัญหา  แพทย์ไม่แนะนำให้คุณแม่ซื้อทั้งยาเหน็บและยาทาตามร้านเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาจะปลอดภัยกับคุณแม่และทารกที่สุด  (ตอบโดย สุเทพ สุขนพกิจ (นพ.)) เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจและรักษาริดสีดวงทวาร จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android รวมบทความที่เกี่ยวข้องกับโรคริดสีดวงทวาร

  • ริดสีดวงทวารหนักคืออะไร?

  • ริดสีดวงทวารขณะตั้งครรภ์เกิดขึ้นได้อย่างไร

  • อาการโรคริดสีดวงทวารเป็นอย่างไร

  • วิธีรักษาริดสีดวงทวารทั้งแบบแผนปัจจุบันและทางเลือก

  • การรักษาริดสีดวงทวาร

  • ยารักษาริดสีดวง มีแบบไหนบ้าง?

  • ผ่าริดสีดวงทวารแบบใหม่เจ็บน้อย ปลอดภัย ฟื้นตัวไว และไม่เสี่ยง

  • การฟื้นตัวหลังการผ่าตัดริดสีดวงทวาร

  • ควรบีบริดสีดวงทวาร ทำให้ริดสีดวงแตกไปเลยดีไหม?

  • ริดสีดวงแตก ทำอย่างไรดี?

  • 7 สิ่งที่ควรทำ ถ้าอยากหายจากริดสีดวงทวาร

  • รวมคำถาม-คำตอบเรื่องอาหารการกิน สำหรับผู้เป็นริดสีดวงทวาร

แหล่งข้อมูล กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่ ภญ.อ.วิไล ตระกูลโอสถ, ริดสีดวงทวาร (http://oldweb.pharm.su.ac.th/thai/Organizations/DIS/Articles/PDF_Files/health001.pdf), , 20 กรกฎาคม 2563. รุ่งฤดี จิณณวาโส และ ภัทราพร พูลสวัสดิ์, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, ริดสีดวงทวาร (https://med.mahidol.ac.th/sdmc/sites/default/files/public/pdf/hemorrhoid.pdf), 20 กรกฎาคม 2563. นพ.นพพล เฟื่องวรรธนะ, Hemorrhoid (http://medinfo2.psu.ac.th/surgery/Collective%20review/2561/6.Hemorrhoid%20(Nopphon%2018.4.61).pdf), 20 กรกฎาคม 2563.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ดู 7 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


Skincare Model
รักษาสิว
ผิวขาว/กระจ่างใส/ลดฝ้า/จุดด่างดำ
ลดริ้วรอย/ร่องลึก
บำรุงผิว
กันแดดสำหรับผู้ใหญ่
กันแดดสำหรับเด็ก
รอยแผลเป็น
กระชับสัดส่วน ริ้วรอยแตกลาย
ทำความสะอาดผิวหน้า-ผิวมัน
ทำความสะอาดผิวกาย
บำรุงรอบดวงตา
กลุ่มสเปรย์น้ำแร่

SKIN CARE

bottom of page